พระอาจารย์
6 พฤษภาคม 2560
(ช่วง 7)
(หมายเหตุ : ต่อจาก ช่วง 6
ถ้าจิตมันไม่เข้าใจธาตุธรรมตามจริงว่ามันเป็นลักษณะนี้ ... จิตจะติดค้างข้องคากับธรรมนี้...ตั้งแต่เกิดจนตาย
ตั้งแต่ตายจนเกิดใหม่น่ะ
แล้วมันจะหวนกลับมาหาธาตุธรรมนี้ว่าเป็นของเราๆ
อยู่ร่ำไปน่ะ เรียกว่าไม่พ้นจากความเกิดตายกับกายนี้เลย ...ก็หมายความว่าไม่พ้นการเกิดตายมาเป็นสัตว์และบุคคล
แต่ถ้าอดทน ขืน ฝืน เอาจิตมารักษาธรรม
เอาจิตมารู้ธรรม เอาจิตมาอยู่กับธรรม เอาจิตมาเรียนรู้ธาตุ เอาจิตมาอยู่กับธาตุ …จะเล็กจะน้อยก็ยังพอเห็น
ว่า...เอ้ย
มันไม่ใช่อย่างที่จิตว่าจิตบอกนะนี่ ...มันเป็นอะไรแค่ปรากฏ...เป็นอาการหนึ่ง
ความรู้สึกหนึ่งที่ตั้งอยู่ กองรวมกันอยู่ ประชุมกันอยู่...เป็นวาระๆ
และในวาระที่มันประชุมกันเป็นความรู้สึกน้อยใหญ่
แต่ละวาระที่มันปรากฏ...หาความเป็นเรา หาความเป็นของเราในนั้น...ไม่มี
มีมั้ย ลองหาดูสิ...มี “เรา” มั้ย
ในแข็ง ในแน่น ในหนัก มีมั้ย ...หาดูซิ มองดูซิ สังเกตดูซิ มีเราแฝงอยู่ในนั้นมั้ย
มีเราผสมรวมอยู่ในนั้นมั้ย
หรือมันเป็นความปรากฏรวมตัวกันอย่างที่เป็นโดยธาตุล้วนๆ
โดยธรรมล้วนๆ ...ไม่มีเรา ไม่มีเขา ไม่มีชาย ไม่มีหญิง...ปนเปื้อนอยู่เลย
ไอ้ที่ว่าเป็นเราปน
ไอ้ที่ว่าเป็นของเราปน มันอยู่ข้างนอก ...แต่ในตัวแท้ๆ ที่มันปรากฏ...ไม่มี
นี่ ที่เรียกว่าการพิจารณากายในกาย
พิจารณาธาตุในธาตุ พิจารณาธรรมในธรรม พิจารณาเวทนาในเวทนา
เพื่อให้เห็นว่าในนั้นน่ะ
มันมีความเป็นเราเขา มันมีความเป็นของเราของเขานี่ ผสมรวมอยู่ในนั้นมั้ย
หรือว่ามีแต่ความว่างเปล่าจากเราเขา ว่างเปล่าจากอัตตาตัวตนใดหนึ่งที่จิตเล่าอ้าง ...ซึ่งแปลว่าในนั้นน่ะ เต็มไปด้วยอนัตตา...คือความว่างเปล่าจากตัวตนสัตว์บุคคลเราเขา
เห็นมั้ยว่าการน้อมนำจิตให้มันมารู้เห็นอยู่กับกายนี่
ได้เรียนรู้ธรรมตั้งหลายแขนง ได้เห็นความเป็นจริงที่ธาตุธรรมเขาแสดงตั้งหลายลักษณะ
นี่ มันจะเป็นตัวเข้าไปหักล้างความเชื่อว่านี้เป็นเรา
นี้เป็นของเราลงไป ...ซึ่งไอ้ความเห็นความเชื่อที่ว่านี้เป็นเรานี้เป็นของเราเนี่ย
ที่เรียกว่าสักกายทิฏฐิ
ศีลสมาธิปัญญา
จึงเป็นธรรมที่ตรงข้ามกันกับความยึดมั่นถือมั่น ...เพื่อหักลบกลบล้างกับความเชื่อที่เห็นว่า
นี่ก็เป็นเรา นี้ก็เป็นของเรา ...นั่งก็เป็นเรานั่ง ใช่มั้ย ยืนก็เป็นเรายืน
ใช่มั้ย
เมื่อยก็เป็นเราเมื่อย ใช่มั้ย
ปวดก็เป็นเราปวดใช่มั้ย เห็นก็เป็นเราเห็น ได้ยินก็เป็นเราได้ยิน แก่ก็เป็นเราแก่
เจ็บก็เป็นเราเจ็บ ตายมันก็ยังบอกว่าเราตาย
เห็นมั้ยว่ากิเลสแห่งความยึดมั่นถือมั่น
กิเลสแห่งความยึดครองว่านี่เป็นเรานี่เป็นของเรา มันตาม ติดทุกลักษณะอาการของกายเลย
อย่างไม่มีคำว่ารั้งและรอ อย่างไม่มีคำว่าเว้นวรรคขาดตอน
แต่ในทางตรงข้ามกับผู้ปฏิบัติในศีลสมาธิปัญญา...อันเป็นธรรมหักล้างความยึดมั่นถือมั่นว่านี้เป็นเรานี้เป็นของเรา
...มันกลับรั้งกลับรอ กลับขาดกลับหาย กลับไม่สม่ำเสมอ กลับไม่ต่อเนื่อง
นี่มันตรงกันข้ามกับกิเลส...ที่มันไม่เคยรั้ง
ไม่เคยรอกับความยึดมั่นถือมั่นเลย
จึงเรียกว่าเป็นการประพฤติธรรม
ปฏิบัติธรรมไม่สมควรแก่เหตุ ไม่สมควรแก่ผล ไม่สมควรแก่ธรรม ...ที่เรียกว่าทำน้อยแต่อยากได้มาก
หรือว่าทำไม่ถูกแต่อยากได้ตรง
เพราะนั้นคนมาฟังธรรมเรา ที่เราสอนนี่
เราไม่ได้พูดเรื่องอะไรเลย เราจะพูดแต่เรื่องกายเรื่องศีลนี่แหละ
เพราะมันเห็นผิดตั้งแต่หัวขบวนนี่
พอมันเริ่มจรดลงที่ธาตุธรรมผิด
มันจะผิดตลอดสาย จนที่สุดจนวันตาย ...ถ้าก้าวแรกผิด ก้าวต่อไปก็พลาด และก้าวต่อๆ ไปก็จะเรียกว่าหลุดโลกไปเลย
หลุดธรรมไปเลยน่ะ
แต่ถ้าก้าวแรกถูก ทิศทางถูก หันหา
หันหน้าเข้าหาธรรม หันหน้าเข้าหาความเป็นจริงอย่างถูกและตรง...จนจิตเรานี่เถียงไม่ได้ว่านี้ไม่ใช่ธรรม
...มันเถียงไม่ได้
เพราะตัวธรรมตัวธาตุนี่
จริงกว่าความปรุงแต่งร้อยล้านพันล้าน ...จิตปรุงแต่งนี่ ตัวมัน ทั้งเนื้อทั้งตัวมันน่ะมีแต่คำโกหก
เรียกว่าพกลมเปรียบเปรยมาพูดมาอ้าง
มันก็สาวอดีตสาวอนาคตน่ะมาอ้าง
สาวตำรา สาวคำพูดคนนั้นคนนี้น่ะมาบอก ...แต่มันไม่ได้อ้างถึง
อ้างอิงถึงความเป็นจริงใดความเป็นจริงหนึ่งเลย
แต่โดยกายโดยธาตุนี่
เขาไม่ต้องเอาอะไรมาอ้าง เขาปรากฏอย่างจับต้องได้จริงน่ะ ...เนี่ย จริงรึไม่จริงล่ะ
ลบล้างได้มั้ยล่ะ เอาจิตเราไปลบล้างได้มั้ย
กำลังแข็ง กำลังเมื่อย
กำลังแน่นอยู่นี่...เอาความอยากของเราไปลบมันสิ เอาความไม่อยากของเราไปลบมันเลย
เอาอดีตเอาอนาคตที่จิตมันสร้าง ที่บ้าน ที่ช่องที่ห้องที่หอไปลบมันสิ ...ลบได้มั้ย
นี่แสดงให้เห็นอะไรตั้งหลายอย่างที่เขาจริงกว่าจิตเรากล่าวอ้าง
เขาไม่ฟังความจิตเราว่าจิตเราบอกเลย ใช่มั้ย ...เขาอยู่ใต้โอวาทเรามั้ย อยู่มั้ย
อยู่ในอาณัติเรามั้ย
โยม – ไม่ครับ
พระอาจารย์ – แต่มันก็ยังไม่ยอม
มันจะคอยที่จะไปบงการกายนี้ให้ได้ ว่าให้มันน้อยลงๆ ...มีจิตใครตรงนี้บ้างที่ไม่บอกให้กายนี้น้อยลง
ให้เมื่อยน้อยลง ให้เหน็บชาน้อยลง
จิตมันร่ำๆๆๆ อยู่ตรงนี้ ...แปลว่าอะไร
...นี่ มันยังแสดงความอหังการต่อธาตุธรรม แสดงความพยายามเข้าไปล่วงเกินต่อธาตุธรรมอยู่
ด้วยความสำคัญผิดว่าธรรมนี้อยู่ใต้อาณัติเรา
ด้วยความเข้าใจผิด สำคัญผิดว่าเวทนานี้ ธาตุนี้อยู่ใต้อาณัติเรา ...มันจึงพยายามที่จะเข้าไปแก้
เข้าไปเปลี่ยน
นี่ล่ะอาการของจิตเราที่เข้าไปแก้เข้าไปเปลี่ยนเวทนา...ความเป็นไปของธาตุ
ความแปรปรวนของธาตุเรียกว่าเวทนา...ด้วยความอหังการไม่รู้จริง
แต่สุดท้าย ท้ายที่สุด มันก็แก้ไม่ได้
ความทุกข์จึงเกิดขึ้นในหัวจิตหัวใจเรา ...เพราะมันไปทำแล้ว คาดแล้ว ประกอบแล้ว
สั่งแล้ว บอกแล้ว กระทำแล้ว...แต่มันไม่เป็นไป
จิตจึงเกิดอาการขุ่นมัวและเศร้าหมอง
เป็นความไม่ชอบคอพอใจ เป็นความเดือดเนื้อร้อนใจ เป็นปฏิฆะ หงุดหงิดงุ่นง่าน ...เห็นที่มาของอารมณ์มั้ย
เห็นเหตุปัจจัยที่นำพาให้เกิดอารมณ์ในเรามั้ย
มันมาจากไหน มันมาเพราะอะไร
และใครเป็นผู้ประกอบกระทำให้มันขึ้นมา ...แล้วเราหยุดการประกอบกระทำให้อารมณ์นี้ขึ้นมารึเปล่า
หรือเรากำลังประกอบกระทำให้อารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆ
เนี่ย เห็นมรรค เห็นเหตุ
เห็นทุกข์ เห็นสมุทัย เห็นนิโรธบ้างมั้ย ...มันยังงงว่ะ พูดไปงั้นน่ะ คนฟังยังงงอยู่
...ไม่เป็นไร พูดไว้ก่อน งงก็งงไป แล้วจะค่อยๆ เข้าใจเอง
ว่าไอ้ที่พูดที่บอกมาตั้งแต่ต้นนี่
ไม่ได้พูดออกนอกมรรคออกนอกผล ไม่ได้พูดออกนอกทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคเลย …เพียงแต่ไม่ได้บอกว่ามันอยู่ในหมวดไหนแค่นั้นเอง
เพราะว่าที่สอนให้ฟังนี่ไม่ใช่ภาคปริยัติ
ที่พูดที่บอกนี่เป็นภาคปฏิบัติ ...ให้วิธีการปฏิบัติ เพื่อนำไปปฏิบัติ
ไม่ใช่เพื่อเอาไปพูดคุยในหัวข้อธรรม ภาษาธรรม
เพราะธรรมทั้งหลายทั้งปวง
การจะเข้าถึงธรรม การจะเกิดความรู้แจ้งเห็นจริงในธรรม...ต้องอาศัยภาคปฏิบัติ
จึงจะเกิดปฏิเวธ
เพราะนั้นปริยัตินี่
มันจะข้ามขั้นตอนปฏิบัติไม่ได้ จะกระโดดข้ามไปปฏิเวธเลยนี่ไม่ได้
มันจะต้องไปตามลำดับคือภาคปฏิบัติ
เพราะนั้นธรรมที่พูดที่สอนตลอดนี่คือภาคปฏิบัติ
ไม่ได้สอนให้จดไม่ได้สอนให้จำ ...แต่สอนให้เอาไปทำ...แล้วทำให้ถูก แล้วทำให้ตรง
อย่าให้จิตนี่...ซึ่งมันเป็นผู้บิดเบือนธรรมตลอดเวลานี่
อย่าให้จิตมันมีโอกาสได้บิดเบือน แล้วหันเหไปในทิศทางที่มันคุ้นที่มันเคย
ที่มันชอบ
เคยเห็นเข็มทิศมั้ย ...เข็มทิศมันจะหันไปที่ทิศไหน
โยม – ทิศเหนือ
พระอาจารย์ – แล้วถ้าเราหมุนตัวตลับไปเป็นตัว S หันขึ้นแทน N ...ยังไงเข็มมันก็จะหมุนไปในทิศทางที่เป็นเหนืออยู่วันยังค่ำใช่มั้ย
ต่อให้ตัวหนังสือจะเป็น south ก็ตาม
เข้าใจมั้ยว่า
ทิศทางของธรรมน่ะมีทิศเดียว ชื่อภาษาจะว่ายังไงก็ได้ แต่ธรรมก็คือธรรมวันยังค่ำ
เหมือนคนไทยเรียกว่ากาย คนฝรั่งว่า body คนไทยว่าขา คนฝรั่งเรียกว่า leg ก็คือตัวเดียวกัน...ต่อให้มันแปลชื่อแปลภาษาเป็นอื่นก็ตาม
แต่ความรู้สึกที่ปรากฏของขา ความรู้สึกที่ปรากฏของแข็งตึงแน่น เป็นก้อนเป็นก้าน
เป็นแท่งนี่ เหมือนกันมั้ยๆ ...เหมือน แตกต่างกันแค่ชื่อภาษา
เพราะนั้นการเรียนรู้ธรรมนี่ คือการเรียนรู้ตามความเป็นจริงที่มันปรากฏ
ไม่ใช่เรียนรู้ตามภาษานะ ...ที่มันเถียงกันจะเป็นจะตาย ตีกันเละเทะนั่น
คือมันเอาตามภาษา
มันไม่เอาตามธรรม
ไม่เอาตามที่ศีลมันปรากฏ ไม่เอาตามที่ศีลเขาแสดง ไม่เอาธาตุธรรมที่เขาแสดงจริง ...นี่เป็นตัวที่เรียกว่าเป็นที่สิ้นสุด
เป็นที่สรุป เป็นที่จบ
ถ้าไม่เอาตัวนี้เป็นที่สรุปที่จบนี่
เถียงกันตาย...ร้อยพ่อพันแม่การปฏิบัติธรรม เหมือนจับปูใส่กระด้ง
ทุกวันนี้ยังทะเลาะกันเลย ...ดูกายดีกว่าดูจิต ดูจิตดีกว่าดูกาย
หรือดูทั้งกายดูทั้งจิตก็ได้ครบหมดเลย ...นั่น มันจะเอาอะไรกันนักกันหนา
จนฟังไปฟังมามันก็ว่า...กูไม่ทำเลย
อือ ดี เพราะว่าต่างคนต่างพูดกันไป
ตัวจำเลยก็กลายเป็นได้ประโยชน์ไปเลย ...คือกิเลสมันเลยได้ประโยชน์โฉบไปกิน นี่...ไม่เอาแล้ว
มันยุ่งกันนักหนา
(ต่อช่วง 8)