วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คำสอน 6 พ.ค. 2560 (10)


พระอาจารย์
6 พฤษภาคม 2560
(ช่วง 10)


(หมายเหตุ  :  ต่อจาก ช่วง 9

พระอาจารย์ –  ตอนนี้มันยังมะงุมมะงาหราอยู่ ...เดี๋ยวก็ชัดเดี๋ยวก็หายๆ เดี๋ยวก็ไหลเดี๋ยวก็หลง เดี๋ยวก็มาอยู่กับคำพูดเราอีกแล้ว เดี๋ยวก็ไปอยู่ในความคิด วิจารณ์

พิจารณาความคิดอยู่ว่า กำลังเป็นอย่างนั้นใช่รึเปล่า อย่างนี้ใช่รึเปล่า ...นั่น กายหายแล้วๆ ใช่มั้ย จิตมันจะสลับไปสลับมา วกไปวนมา ขึ้นบนลงล่าง 

แต่ตอนนี้ต้องเอาจิตมาฟังก่อน เป็นหลักก่อน เพราะว่ามันยังไม่เป็นผู้เชี่ยวชาญ...ยังไม่เป็นผู้เชี่ยว คร่ำหวอดในธาตุธรรม ...จึงต้องอาศัยการฟังเพื่อไปย่อยความคิดความเห็นที่มันเป็นปฏิปักษ์ต่อธรรมก่อน

ตอนนี้พวกเรานี่จะแบกความคิดความเห็นที่มันเป็นปฏิปักษ์ต่อธรรมต่อศีลอีกเยอะ ...ที่เรากล่าวธรรมอย่างดุดัน ก็เพราะว่าจะมาลบไอ้ปฏิปักษ์ต่อศีลสมาธิปัญญาในหัวจิตหัวใจพวกเรา

ซึ่งพวกเราไม่มีใครเจตนาหรอก ...มันปลูกฝังมาโดยสันดาน คืออยู่ด้วยความลบหลู่พระธรรมมาโดยตลอดทุกภพทุกชาติ มันไม่เชื่อมั่นในธรรม...แต่มันเชื่อมั่นในกูเอง มันถือตัวมันเองเป็นใหญ่ 

ก็เรียกว่ามันเป็นอะไรที่เอาแต่ใจตัวมันเอง ที่เรียกว่า “มานะ” ...ทุกคนมี ทุกคนเป็น...แสดงออกหรือไม่แสดงออกอีกเรื่องหนึ่ง ...แต่ในหัวจิตหัวใจ ใต้สำนึก เหนือสำนึก...มีหมดเลย

ตอนนี้ที่สอนธรรมดุด่าว่ากล่าวนี่ คือเพื่อไปลบเสี้ยนหนาม คือความคิดความเห็นที่มันเป็นเสี้ยนหนามต่อมรรค เสี้ยนหนามต่อศีลสมาธิก่อน ...พอลบเหลี่ยมลบคมมันได้ ตอนนี้ก็รีบเร่งเข้าไป

เพราะเดี๋ยวมันจะค่อยๆ ฝานเหลี่ยมฝานคม...ว่ามันแน่ ว่ามันเหนือกว่าอีก ...นี่ พวกเรายังอยู่ในขั้นตอนที่ไม่ชนะมันโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหรอก ยังเป็นรองต่ำใต้มันอยู่ร่ำไป

เพราะนั้นเวลาตอนนี้ ฟังธรรมนี่ ถือว่าเป็นเวลาที่ครูบาอาจารย์ท่านลูบคมให้ ลบเหลี่ยมให้...จากร้อยพันเหลี่ยมนี่ ก็เหลือประมาณแปดสิบเหลี่ยม (หัวเราะกัน)

ไอ้ประมาณเกลี้ยงเกลา กลมเกลี้ยงนี่ยังไม่ถึงนะ ...อันนี้ต้องไปทำกันเอาเอง

เพราะมันยังมีแง่มุมให้คิดเยอะแยะไปหมดเลยนะ ยังให้ติให้ว่าในคำกล่าวคำสอนของเรา ว่า...เอ๊ อย่างนี้รึเปล่านะ อย่างนั้นรึเปล่า เคยทำมา เคยได้ยินมา เขาว่าอย่างนั้น เขาว่าอย่างนี้

มันยังมีเถียง ยังมีแย้งอยู่นะ ยังมีย้อนแย้งๆ อยู่...ใช่มั้ย …นั่น เดี๋ยวอย่าโผล่หัวมา เดี๋ยวกูลูบให้ ลูบคมให้ เอาจนมันกลม นี่ พอทื่อแล้ว ตรงนี้...อัตตาหิ อัตโน นาโถ

ต้องเร่งรัดเข้าไปแล้ว เข้าไปพิสูจน์ธรรมด้วยตัวเอง พิสูจน์ศีลด้วยตัวเอง พิสูจน์ว่าอย่างที่เราพูด อย่างที่เราบอก มันน่าจะใช่ มันน่าจะควรแก่การปฏิบัติที่แท้จริงมั้ย

คือการพูดการสอน มันก็กึ่ง ปจว. น่ะ โฆษณาชวนเชื่อ เพื่อให้คนฟังนี่น้อมตามเท่านั้นเอง ...เพราะว่าจะยกธรรมมาเปิดให้ดูเหมือนทีวีวงจรปิดอย่างนี้...ก็ไม่เห็นน่ะ มันไม่ได้

มันเป็นธรรมจำเพาะน่ะ ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างเห็นด้วยตัวตาจิตตาใจของผู้ปฏิบัตินั้นเอง มันจะเอามาแบ่งมาเฉลี่ยให้คนอื่นเห็นทั่วโลกาไม่ได้

มันก็ต้องอาศัยการโอ้โลมปฏิโลมด้วยโวหาร...ที่เรียกว่าโดยการเทศนา หรือว่าการเสวนาธรรม สากัจฉาธรรม หรือว่าธรรมเทศนา ...นี่ก็คือมงคลอันหนึ่ง อยู่ในมงคล ๓๘

พอมาได้ยินได้ฟัง จิตก็เริ่มอ่อนตัวลง ...จากความดื้อด้านทะยานที่ใหญ่ค้ำฟ้าค้ำโลกนี่ มันก็ตัวลีบลงๆ ...เพราะกูใหญ่กว่า อาจารย์ใหญ่กว่า กูจริงกว่า อะไรอย่างนั้น

มันก็อ่อนตัวลงในระดับที่พอกล่อมเกลาได้ ตอนนั้นน่ะเป็นช่วงนาทีทอง น้อมจิตน้อมใจลงไปถึงธาตุถึงธรรม ...จรดไว้ๆ ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมกับจิตเราว่า จิตเราบอก จิตเขาว่า จิตเขาบอก

แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับมัน จรดลงไปโง่ๆ น่ะ...แข็งแน่นตึงๆ แข็งแน่นหนักๆ ไหว กระเพื่อม กระเทือน เป็นก้อนเป็นแท่งเป็นก้าน เป็นน้ำหนักตัวที่กดทับ เป็นอบเป็นอ้าว เป็นร้อนเป็นหนาว

จรดมันอยู่อย่างนั้นๆ ไม่รู้ไม่ชี้ ให้จิตมันเงียบหายไปสักพักหนึ่ง …นี่ ต้องพูดกันเป็นพักๆ นะ พวกเรานี่ ...พิสูจน์ธรรมอย่างนั้น

แล้วก็ทำบ่อยๆ ทดลองเอาตัวเองเข้าไปพิสูจน์ธรรม แล้วดูซิ ผลที่ได้มันจะเป็นอย่างไร

ประเมินเอง ไปประเมินด้วยตัวเอง ความรู้เห็นในธรรมมันโจ่งแจ้งมั้ย มันจะแจ้งขึ้นมั้ย ความชัดเจนในธรรม ว่าธรรมนี้ไม่ใช่เรา ธรรมนี้เป็นธาตุ นี้ไม่ใช่ใครของใคร

มันจะชัดเจนขึ้นในการที่จรดลงตรงนั้นแหละ แบบนั้นทำเอง รู้เอง เข้าใจเอง ...จนมันยืนหยัดด้วยตัวเองได้ เรียกว่า อัตตาหิ อัตโน นาโถ

ก็เรียกว่าบุคคลผู้นั้นน่ะ มีศีลสมาธิปัญญาเป็นสรณะ มีพระรัตนตรัยเป็นสรณะโดยสมบูรณ์

แต่ถ้ายังไม่ตรงจุดนั้น วาระนั้นน่ะ ยังอยู่ในอาการที่เรียกว่าลูกผีครึ่งคนอยู่ ...ไม่ใช่ลูกครึ่งด้วยนะ แต่ค่อนผีเสี้ยวคน เพราะมันไปอยู่กับความเลื่อนลอยในจิต นั่น

มันไปอยู่กับความเลื่อนลอยในอดีตอนาคต ไปอยู่กับการกระทำคำพูดของคนรอบข้าง เป็นเกณฑ์เลย ...แล้วพอมาอยู่กับตัวเองก็ไปนั่งไล่ดูอารมณ์ ไล่ดูกิเลส ไล่ดูความคิดนี่

ทำไมไม่เฟ้นธรรม ทำไมไม่ค้นหาธรรม ทำไมไม่หยุดอยู่กับธรรม ...เพราะว่า...อย่างที่บอกตอนแรก เพราะมันไม่รู้จักตำแหน่งที่ตั้งของธรรมอันแท้จริง

มันไม่เข้าใจความหมายภาษา...โดยภาษาของธรรมว่าอะไร อยู่ที่ไหน ...มันจึงเกิดการสับสนในธรรม เป็นเหตุให้เกิดการฟุ้งซ่าน อุธัจจะกุกกุจจะ

ทุกเวลา ทุกครั้งที่นั่งอยู่เฉยๆ ยืนอยู่เฉยๆ  จิตจะเกิดอุธัจจะกุกกุจจะขึ้นมา เพราะว่าความลังเลสงสัยในธรรม ...นี่ จัดอยู่ในหมวดของสังโยชน์ตัวหนึ่ง

เอาแล้ว พอจริงๆ ...ไป ฝึกกัน หัดกันเอง นะ ไปค้นหาธรรมในตัว ไม่ใช่ไปค้นหาธรรมที่ผู้อื่น ของคนอื่น

(ถามโยม) เมื่อยมั้ย มันบอกว่ามันเมื่อย หรือเราว่ามันเมื่อย

โยม –  เข้ากระดูกเลย


พระอาจารย์ –  ถ้าไม่ใช่ขามันบอกว่ามันเมื่อย อย่าไปเชื่อมัน  ถ้าขามันบอกว่ามันเมื่อยนี่ค่อยเชื่อมัน ...ต้องเล่นกับมันอย่างนี้นะ

ถ้าจิตบอกอย่าเพิ่งเชื่อ เอาไว้แบบ...ฮึ พอฟังได้ แต่ว่าอย่าเชื่อ แต่ถ้าเมื่อใดที่ขามันบอกว่ามันเมื่อย ให้เชื่อเลย

แต่เรานี่ตั้งแต่สามสิบกว่าปีที่นั่งดูกายดูเวทนามา กายไม่เคยบอกเลยว่ามันต้องการอะไร ไม่เคยเห็นเลยว่ามันเรียกร้องอะไรมาเป็นคำพูด มาเป็นอากัปกริยาอาการ...นี้คือความจริงที่เราเห็นตลอด

แต่ที่เราเห็นประจำคือจิตเรานี่เรียกร้องไปเอง อย่างผีเจาะปาก...แล้วจะเชื่อใคร ...เราก็ตัดสินใจ กูไม่เชื่อมึง กูเชื่อธรรม...ห้ำหั่นกันอยู่เช้าสายบ่ายค่ำ ไม่มีคำว่าย่อหย่อน หยุดยั้ง

จนกว่ามันจะยอมถอยหนี หมดคำกล่าวอ้าง...มึงไม่ต้องมาไซโคกูอีก กูไม่เชื่อมึงอีกแล้ว ...นั่น สบาย

กายเกิด กายเจ็บ กายแก่ กายดับ กายตาย...เรื่องของธาตุไม่ใช่เรื่องของเรา ไม่ใช่ธุระของเรา เป็นเรื่องของมัน ...จบมั้ยนี่...จบ 

จะต่อกับมันมั้ย...ไม่ต่อ  จะเอาอะไรกับมันอีกมั้ย...ไม่เอาแล้ว เลิกเอาแล้ว ...นี่ แล้วพอเลิกเอามัน เขาก็ไม่เอาเรานะ เออ ต่างคนต่างตรงต่อกันแล้วเป็นอันใช้ได้

ถ้าจิตยังไม่ตรงต่อกาย ยังคิดเห็นไม่ตรงต่อกาย...ยังใช้ไม่ได้ ...จนคิดเห็นตรงต่อกาย...ใช้ได้ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างวาระ ต่างคนต่างเกิด ต่างคนต่างดับไป...จบ

ต้องการแค่นี้เอง ไม่มากหรอก ไม่มาก...แค่เนี้ย ...เนี่ย ประมาณแสนอสงไขยกัปนะ (หัวเราะกัน) กว่าจะเห็นแค่เนี้ย ...เพราะนั้นทำไปเหอะ ไอ้ที่ทำมามันก็เยอะแล้วล่ะ แต่ว่าอย่าหยุดทำแค่นั้นเอง

แล้วก็อย่าไปทำที่อื่น...เสียเวลาเปล่า กิเลสจะงอกงาม ศีลสมาธิปัญญาจะฝ่อตัว ...แต่ถ้าทำถูก ศีลสมาธิปัญญางาม...กิเลสจะฝ่อตัว ความยึดมั่นถือมั่นโดยเราจะเจือจางลงเอง

แต่ถ้าทำถูกทำตรงนี่ ไม่ต้องกลัวหรอกว่า “เรา” จะไม่หมดไปสิ้นไป ...ไอ้ที่มันไม่หมดไม่สิ้น เพราะทำไม่ถูกไม่ตรงต่อมรรค ไม่ถูกไม่ตรงต่อศีลสมาธิปัญญา แค่นั้นเอง

อย่ามาอ้างว่าศีลสมาธิปัญญาไม่มีอยู่จริงนะ อย่าไปเชื่อคำพูดของคนที่บอกว่าศีลสมาธิปัญญาเป็นเรื่องล้าสมัย แล้วตัวข้าพเจ้านี่จะตั้งกฎเกณฑ์วิธีการขึ้นมาใหม่

ไอ้เนี่ยหลอกกิน เขาเรียกว่าเหลือบไรพระศาสนา เกินเหลือบเกินไร เป็นเห็บเป็นหมัดด้วย แผ่ขยายไปหมดทุกตารางนิ้วของประเทศไทยเลยมั้ง

(ถามโยมอีกกลุ่ม) มาจากไหน

โยม –  ปทุมค่ะ


พระอาจารย์ –  ไม่เคยมาใช่มั้ย ฟังรู้เรื่องมั้ย

โยม –  ทราบค่ะ

พระอาจารย์ –  รู้แล้วก็เอาไปทำ รู้แล้วก็อย่าเอาไปทิ้ง


โยม –  พอดีโยมกำลังสร้างสถานปฏิบัติธรรมที่บุรีรัมย์ค่ะ ก็เลยมาขอคำแนะนำของครูบาอาจารย์ เพื่อที่จะไปเปิดคอร์สให้ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมในคอร์สค่ะ

พระอาจารย์ –  ทำตัวเองให้มาก คนอื่นเป็นภายนอก เอาให้ตัวเองถึงธาตุถึงธรรมจริงๆ ก่อน ...การบอกสอนคนอื่นนี่ เป็นตัวรองหมด

ถ้ายังแก้กิเลส แก้ความยึดมั่นถือมั่นในเราไม่ได้จริงๆ นี่  เราไม่เคยแนะนำสนับสนุนให้ไปสอนใครเลย ...เพราะเรายังเอากิเลสของตัวเราไม่ลง ยังทำลายความยึดมั่นถือมั่นของตัวเองไม่ได้

ระวังให้ดี การประกอบกระทำเยี่ยงนี้ ต้องระวังให้ดี ระวังให้มาก ...เพราะกิเลสของเรานี่ และกิเลสของเขานี่ จะแทรกซึมเข้ามาทุกระยะเวลาเลย

แล้วเราอดไม่ได้ที่จะไหลหลงไปตามมัน โดยที่เข้าใจว่าเป็นกุศล มันก็จะเอากุศลนี่มาบังหน้า เพื่อประโยชน์คนอื่นมาบังหน้า ...เราถึงบอก ไม่แนะนำให้เล่นกับกิเลสเลย


(ต่อช่วง 11)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น