วันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2560

คำสอน 6 พ.ค. 2560 (9)


พระอาจารย์
6 พฤษภาคม 2560
(ช่วง 9)


(หมายเหตุ  :  ต่อจาก ช่วง 8

พระอาจารย์ –  เวลานั่งสมาธิเดินจงกรม นั่งสมาธิซักครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง ...แล้วจะรู้เลยว่า จิตนี่เดือดเนื้อร้อนใจกับกายนี้มั้ย ว้าวุ่นสับสนกับกายนี้มั้ย

นี่มันแสดงอะไร...แสดงว่ากายนี้ยังเป็นเราของเราอยู่เต็มๆ ...ยังห่างชั้นนักห่างชั้นหนาว่ากายนี้ไม่ใช่เราของเรา

ลองดู อยากรู้ว่ากิเลสเราประมาณไหน กี่โล กี่ขีด กี่ตันนี่ นั่งให้เจ็บ นั่งให้เมื่อย แล้วดูซิมัน...จิตนี่มีความเดือดเนื้อร้อนใจกับกายนี้มั้ย

ในจิต ในดวงจิตของเราตรงนั้นจะมีแต่ความคร่ำครวญหวนไห้ สับสนวุ่นวาย  ชุลมุนชุลเกไปหมดน่ะ ความยึดมั่นถือมั่นในเราในกายยังเต็มหัวจิตหัวใจอยู่เลยน่ะ

นี่ ตรงต่อธรรมนะ ไม่โกหกตัวเองนะ ...การปฏิบัติธรรมไม่โกหกตัวเอง ไม่โกหกคนอื่นนะ มันเป็นอะไรที่รู้ได้ เห็นกับตัวเองเลยว่ายังติดก็คือต้องติด...ต้องรู้ ยังยึดก็ต้องรู้ว่ายังยึด

ยังออกไม่ได้ก็ต้องรู้ว่ายังออกไม่ได้ ยังหาวิธีออกจากมันไม่ได้...ก็รู้ว่าหาวิธีออกจากมันไม่ได้ รู้ว่ากำลังหาวิธีการออก รู้ว่าเข้าหาวิธีการออกที่ถูก ...ก็ต้องรู้ด้วยตัวเองหมดเลย

อย่าไปฟังคำคนอื่น อย่าไปปฏิบัติธรรมตามกระแส ตามเทรนด์ ...ไม่ใช่ลัทธินี่ ไม่ใช่ลัทธิคอมมิวนิสต์นี่ จะไปทำตามลัทธิความเห็นของใครคนใดคนหนึ่ง

สวากขตธรรมนี่คือธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านคัดแล้ว สรรแล้ว ตรัสดีแล้ว...นี่ อันนี้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ...อย่ามาอ้างคนนั้นพูดคนนี้บอก ศีลสมาธิปัญญานี่ตายตัวเลย

ถ้าปฏิบัติ...ถามดูตรงนั้น มองหาดูตรงนั้นว่าอยู่ในแวดวงของศีลมั้ย อยู่ในแวดวงของสมาธิ อยู่ในแวดวงของปัญญารึเปล่า ถ้าไม่ได้อยู่ในแวดวงของศีล...จบ ผิดทันที บอกให้เลย

ใครจะด่าใครจะว่า ไม่รู้น่ะ ...เรายืนยันอยู่ที่เดียวน่ะ ถ้าไม่มีกายอยู่ตรงเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เป็นเครื่องรู้เครื่องเห็น...นี่ ผิดธรรม ผิดศีล ออกนอกมรรค ออกนอกความเป็นจริง ออกนอกปัจจุบัน...เป็นอันว่าผิดหมด

จะปฏิบัติตามๆ กันไปมา หรือจะปฏิบัติตามหาธรรม ตามศีลสมาธิปัญญาล่ะ ถ้าจะปฏิบัติตามๆ กันไป ตามๆ กันมานี่...ปะเลอะปะเต๋อ เต็มประเทศ

แต่ตามหาธรรม ตามหาธาตุ ตามหาความเป็นจริง หยุดอยู่กับธาตุ หยุดอยู่กับธรรม หยุดอยู่กับศีล หยุดอยู่กับความเป็นจริง ...หาได้ยาก หาได้น้อย

เพราะมันเป็นอะไรที่ไม่น่าติดตามเฝ้าดูเป็นที่สุดเลยน่ะ ...พอตาม ติดตามดูมันไปนานๆ มีแต่ทุกข์กับทุกข์กับทุกข์ขึ้นมาเรื่อยๆ น่ะ ...ไม่งั้นท่านไม่เรียกกายนี้ว่ากองทุกข์หรอก

นี่แหละหลักการปฏิบัติ รวมลงที่กายใจ ...ถ้านอกเหนือกายใจ อย่าไปดูดำดูดีกับมัน ...ซึ่งตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงใจน่ะ พูดถึงกายอย่างเดียวก่อน ยังหาใจกันไม่เจอหรอก

ยังไม่รู้จักหน้าค่าตาของใจหรอก ได้แต่ประเมินเอา ประมาณเอา ...เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวโดนหลอก ถ้าได้ลังเลสงสัยแล้วได้ประเมินเอาเอง คาดคะเนนะ เดี๋ยวๆ กิเลสคาบไปกินหมด

เอาที่มันชัดที่สุดก่อน ...ขนาดว่าที่ว่าชัดที่สุด ที่ว่าจับต้องได้จริงนี่ มันยังเอากันไม่ค่อยอยู่เลย นั่งเป็นนั่ง ยืนเป็นยืน แข็งเป็นแข็ง แน่นเป็นแน่น ร้อนเป็นร้อนนี่

เอาให้อยู่ก่อน จับให้มั่นคั้นให้ตายก่อนเถอะ ถือว่ากายนี้เป็นธรรมที่หยาบที่สุดแล้ว ...ถ้าจับกายนี้ไม่ได้ อย่าไปถามอะไรที่เป็นธรรมละเอียดกว่านี้

ถ้ายังผูกจิต ผูกรู้ ผูกเห็น กับกองธาตุกองเวทนานี้ไม่ได้ในเวลาปัจจุบันนี่ ...อย่าคิดเรียนลัดนะ ประมาณอนุบาลแต่จะไปสอบปริญญาเอก...เป็นไปไม่ได้นะ

ไม่ต้องปริญญาเอกหรอก แค่ ม. ห้า ม.หกเขาก็ไม่ให้ผ่านแล้ว ...มันต้องไล่เลียงไปตามลำดับธรรมน่ะ ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียด ประณีต

เพราะนั้นตัวกายนี่เป็นธรรมที่หยาบที่สุดในมนุษย์ในสัตว์ มันยังละเลยกันอยู่เลย ...มัวแต่ไปคว้านู่น ควานค้นนี่ จับนู่นจับนี่  กิเลสทั้งนั้นน่ะ ปรุงแต่งเอาเองทั้งนั้นน่ะ

ต่อให้มันเลิศเลอเพอร์เฟ็คเป็นที่นับหน้ากับคนรอบข้างขนาดไหนก็โกหก ของลวงหลอก ...กิเลสมันโกหกคำโตน่ะ แต่หน้าตามันดูดี ดูน่าเชื่อถือ แค่เนี้ยก็หลงเล่ห์หลงลมลวงมันหมดแล้ว

พอให้กลับมาลงที่กองกายกองปัจจุบันธาตุนี่ กระบิดกระบวนๆ อิดๆ ออดๆ  อ้างนู้น อ้างนี้ อ้างโน้นไปตามประสากิเลส ตามประสาอารมณ์ความอยาก-ไม่อยาก รักชอบคอพอใจ ไม่ชอบใจ

อ้างว่าไม่ถูกจริต อ้างว่าไม่ใช่จริต ก็ว่ากันไป ...มันวิกลจริตน่ะ เอากิเลสเป็นเครื่องชี้นำ เอาความอยากปรารถนาของเราเป็นศาสดา เป็นแอดไวเซอร์

คอยแต่จะหันหน้าเข้าปรึกษามันตลอด แล้วมันก็แนะ ทำนั่นสิเธอ ทำนี่สิคุณ อย่างนั้นสิท่าน ...เสร็จ โดนรวบหัวรวบหางกินกลางตลอดตัวน่ะ

จบกับมัน...เป็นทุกข์ จม งม มืดแปดด้านอยู่อย่างนี้ เข้าใจว่าทางตีบทางตันมั้ย มันตันไปหมดน่ะ มันไม่ลุล่วง มันไม่ปรุโปร่ง

เอ้า พอแล้ว เหนื่อยแล้ว พูดมาก พูดดัง พูดแรง ไม่รู้จะพูดไปทำไม ...ก็กะเทาะกิเลสในหัวจิตในหัวใจของคนนี่แหละ มันหนา มันหยาบเหลือเกิน

มันตั้งแต่ทิฏฐิความเห็นที่มันไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวางมันถือว่ามันเก่ง มันถือว่ามันรู้ดี มันถือว่ามันฉลาดที่สุดแล้วในสามโลกธาตุนี่

คนพูดคนสอนจนน้ำลายนี่เหนียวหมด มันก็ยังเอ้อระเหยลอยนวลอยู่ในหัวจิตหัวใจ ไม่ได้กระเทาะ กระทบ กระเทือนกันบ้าง 

ก็ออกแรงกันอย่างนี้ เช้าสายบ่ายค่ำ มาฟังก็จะได้ยินแต่เสียงเรา ...ซึ่งมันไม่เสนาะเพราะหู ไม่ได้เป็นธรรมที่สอนเอาใจกิเลสมนุษย์นี่หว่า สอนเพื่อให้ลบล้างกิเลส ก็คือตัวเราทั้งหลายน่ะ

มันถือตัวเราเป็นเราของเราใช่มั้ย แล้วธรรมที่อาตมาสอนมันเป็นตัวฆ่า “เรา” มันก็โดนจิตโดนตัวเราทุกดอกล่ะวะ ...ก็มันกิเลสตั้งแต่หัวจรดตีน ยังไงก็โดน พูดยังไงก็โดน

จึงเรียกว่าธรรมนี่ไม่เอาใจกิเลส เอาแต่ความจริง อันไหนเป็นได้จริง ...อันไหนเป็นอะไรที่กิเลสบอกก็ไม่เอา และก็ไม่ได้สอนให้ไปเอากับมันด้วย

ให้หาธรรม อยู่กับธรรม ลมหายใจเข้าออกนี่ก็ธรรม ร้อนอบอ้าวผ่าวนี่ก็ธรรมที่ปรากฏในกาย ...อยู่กับมันให้ได้เถอะ สติสัมปชัญญะเหนี่ยวนำให้รู้เห็นอยู่กับมันให้ได้เถอะ

เรียกว่าไม่ย่อหย่อนในศีล ไม่ขาดตกบกพร่องในศีลนั่นเอง ไม่ด่างพร้อย ไม่เว้นวรรคขาดตอนในศีล ...นี่คือความหมายของศีลในองค์มรรค ศีลในขั้นอธิ

มันจึงเป็นเหตุที่หนุนเนื่องสมาธิ ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา ทุกสถาน เป็นอกาลิกธรรม เป็นอกาลิโก

อย่าอ้างกาลเวลานะ ถ้าอ้างกาลเวลา...เสร็จ กิเลสพาไปกิน ...เช้าก็เช้าไป กลางวันก็ร้อนไป เย็นก็เหนื่อยไป กลางคืนก็ต้องพักผ่อนไป เนี่ย มันจะอ้างกาลเวลาเสมอ

สุดท้ายก็บอกว่า...แย่เลย จารย์ ผมไม่มีเวลาปฏิบัติ ...มันเป็นม็อตโต้รึไง เชื่อตามคำกิเลสอ้าง กิเลสบอกหมดน่ะ ...เวลามันไม่มีตรงไหน ถ้าไม่มีมันไปตายซะ ใช่มั้ย

ถ้ายังไม่ตายนี่ ลมหายใจเข้าออกนี่...เวลามันยังมีอยู่น่ะ ชีวิตยังมียังดำเนินอยู่ เวลามี ทุกปัจจุบันธาตุธรรมแสดง ...จะมาบอกว่าไม่มีเวลาตรงไหนได้ยังไง

มันเอาเวลาไปทำอะไรกันหมด ไปเผลอไปเพลิน ไปสนุกไปเล่นไปหัวรึยังไง ไปเมาไปมัน ไปด่าไปชมคนนั้นคนนี้ ไปแส่ไปเสือกไปรู้คนนั้นคนนี้ ...มันใช่ที่ ใช่เหตุ ใช่กาลมั้ยล่ะ

แล้วก็มาบอกว่า “ผมไม่มีเวลาปฏิบัติ หนูไม่มีเวลาปฏิบัติ” ...ไปตายซะ นอนเลยไม่มีเวลานี่

ทีนี้เวลาเต็มเลย ในโลงน่ะ ไม่ต้องลุกไปไหน มันก็หมดเวลาปฏิบัติ ถึงอยู่เฉยๆ ไม่มีงานธุระอะไร...ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ...กิเลสมันก็จะผัดวันประกันพรุ่งไปอย่างนี้

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า วันคืนล่วงผ่าน ทำอะไรกันอยู่ ...หมดเวลาไปกับอะไร พูดถึงเรื่องคนนั้น ด่าถึงคนนี้ สืบสาวประวัติความดีความชั่วของคนนี้คนนั้นหรือ

หรือมันจะหมดเวลากับการมาสืบค้นความเป็นจริงในตัวเอง...ว่าธาตุอยู่ไหน ธรรมอยู่ไหน ว่าธาตุคืออะไร ธรรมตามความเป็นจริงคืออะไร

ว่าธาตุนี้ตั้งให้ใคร ตั้งเพื่อใคร เกิดให้ใคร ดับให้ใครมั้ย  มันเกิดมาตั้งอยู่เอาใจใครมั้ย มันเอาใจเรามั้ยล่ะ
บทจะมากูก็มา ไม่ได้ขออนุญาตก็จะมา บทจะไปก็ไม่ลา กูจะไป เห็นมั้ย มันเอาใจเรามั้ย...ก็ไม่

แต่ทุกการเกิด ทุกการปรากฏ ทุกการมา ทุกการไป ...เดือดเนื้อร้อนใจกับมันหมดน่ะ ไม่อยากเจอไม่อยากเห็น ไม่อยากอยู่กับมัน ...ไอ้ที่อยากอยู่อยากเห็น อยากเป็นกับมัน ก็ไม่ค่อยมา

มันเป็นอะไรที่ลักลั่นกันอยู่ตลอด ระหว่างกายกับจิตเรานี่ หือ ทำไมมันไม่สมยอม ทำไมไม่ต่างคนต่างอยู่ ทำไมไม่อยู่ด้วยความเป็นสันติธาตุสันติธรรมต่อกันและกันล่ะ

อื้อ พอแล้ว ว่าจบแล้วนะนี่ (หัวเราะกัน) ธรรมพาไป

เพราะธรรมนี่ไม่มีประมาณนะ ถ้าพูดนี่หลากหลายแขนง จะไปแขนงไหนก็ได้ มันได้หมดน่ะ ถ้ามันทั่วถึงในธาตุธรรมแล้วนี่ อะไรมันก็เป็นธาตุธรรมหมดน่ะ

แต่ถ้ามันไม่ทั่วถึงนี่ ไปซ้ายมันก็ติดซ้าย ไปขวามันก็ติดขวา ขึ้นหน้าก็ติดหน้า ขึ้นบนลงล่างติดหมดน่ะ หันรีหันขวางไม่รู้จะไปต่อทางไหนเลยน่ะ

เพราะนั้นมันจะเปิด...ต้องแหวกช่องมันเล็กๆ ตรงนี้น่ะ ตรงแข็ง ตรงแน่น เล็กๆ นี่ แหวกออกก่อน แหวกความคิดแหวกความเห็น ...เอาแค่ตรงนี้ แข็งแน่นตึงๆ ตรงนี้ เล็กๆ จุดเล็กๆ

เขาเรียกว่าเป็นขณิกธาตุ ขณิกธรรม  ละอองธาตุ ละอองธรรมนี้ก่อน  ละอองศีล ละอองธรรมนี้ก่อน ...แล้วก็ค่อยๆ เบิกธรรม เปิดธรรม ขยายธรรม

เบิกกว้างขึ้น เปิดขึ้น จนเต็มเนื้อเต็มตัว เต็มธาตุเต็มธรรมขึ้นมา ...ตลอดเนื้อตลอดตัวมีแต่ธาตุมีแต่ธรรมปรากฏล้วนๆ อย่างนั้นน่ะ...ชัด 


(ต่อช่วง 10)



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น